สาเหตุ
โรคมือเท้าปาก
เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสกลุ่มเอนเทอโรไวรัส
มีการระบาดแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ในประเทศเขตหนาว มักพบในช่วงฤดูร้อน
และต้นฤดูใบไม้ ร่วง ประมาณเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม
แต่ในเขตร้อนชื้นรวมทั้งประเทศไทยพบได้ตลอดทั้งปี
แต่จะชุกในช่วงฤดูฝนและช่วงที่มีอากาศร้อนชื้น
เชื้อที่พบเป็นสาเหตุของโรคมือเท้าปาก แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่และแต่ละการระบาด
เอนเทอโรไวรัสสายพันธุ์ที่พบการระบาดในประเทศไทยได้แก่
1.ค็อกแซกกีเอ 16 (Coxsackie virus A16) พบได้บ่อย
ผู้ติดเชื้ออาการจะไม่รุนแรงและหายเองได้
2.Echovirus พบน้อยกว่าอาการไม่รุนแรงเช่นกัน
3.Enterovirus 71 (EV71) พบการระบาดน้อยกว่า 2 ชนิดแรก (15-30%) แต่ว่าผู้ป่วยมักมีอาการรุนแรง
อาจพิการและเสียชีวิตได้
![]() |
Enterovirus ภาพจาก http://www.oknation.net/blog/Sp-Report/2012/07/27/entry-4 |
การติดต่อ
การติดต่อส่วนใหญ่เกิดจากได้รับเชื้อไวรัสเข้าสู่ปากโดยตรง
โรคแพร่ติดต่อง่ายในช่วงสัปดาห์แรกของการป่วย
โดยเชื้อไวรัสอาจติดมากับมือหรือของเล่นที่เปื้อนน้ำลาย น้ำมูก
น้ำจากตุ่มพองและแผล หรืออุจจาระของผู้ป่วย และอาจเกิดจากการไอจามรดกัน
ในระยะที่เด็กมีอาการทุเลาหรือหายป่วยแล้วประมาณ 1 เดือน
จะพบเชื้อในอุจจาระได้ แต่การติดต่อในระยะนี้จะเกิดขึ้นได้น้อยกว่า
อาการ
อาการเริ่มต้น คือ
มักเป็นไข้ที่ไม่มีอาการอะไรในช่วงแรก โดยจะมีระยะฟักตัวประมาณ 3-6 วัน มักจะเริ่มจากการมีไข้ต่ำๆ ประมาณ 38-39 องศา
และมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ระยะนี้จะมีระยะเวลาประมาณ 1-2 วัน จากนั้นจะเริ่มมีอาการเจ็บปาก ตรวจร่างกายจะพบมีรอยโรคในบริเวณปาก มือ
และเท้าตามมา อาการแสดงที่พบ มักจะมีอาการแสดงในหลายระบบ เช่น
1. ระบบทางเดินหายใจ
อาจมีอาการเหมือนไข้หวัด ไอ มีน้ำมูกใส เจ็บคอ
2. ทางปาก พบในผู้ป่วยทั้งหมด
มีรอยโรคจํานวน 5-10 แห่ง
พบได้ทุกบริเวณในปากแต่ที่พบได้บ่อย คือเพดานปาก ลิ้น และเยื่อบุกระพุ้งแก้ม
รอยโรคระยะเริ่มต้น ลักษณะเป็นรอยสีแดง อาจนูนเล็กน้อย ขนาด 2-8 มิลลิเมตร จากนั้นจะเปลี่ยนเป็นตุ่มนํ้าสีเทาขนาดเล็กขอบแดง
ช่วงที่รอยโรคเป็นตุ่มนํ้าจะสั้น จึงมักตรวจไม่พบรอยโรคในระยะนี้
แต่ก็มักพบลักษณะเป็นแผลตื้นๆ สีเหลืองถึงเทาของแดง ซึ่งอาจจะมารวมกันเป็นรอยโรคใหญ่ได้
3. ทางผิวหนัง อาจเกิดขึ้นพร้อมรอยโรคที่ปาก
หรือหลังจากนั้นเล็กน้อย จํานวนตั้งแต่ 2-3 แห่งไปจนถึง 100 แห่ง
พบที่มือบ่อยกว่าเท้า ลักษณะเป็นรอยแดงๆ อาจนูนเล็กน้อยขนาด 2-10 มิลลิเมตร ตรงกลางสีเทา บางรอยโรคมีลักษณะเป็นตุ่มน้ำใสขอบแดง
มีกระจายขนานไปกับแนวของผิวหนัง อาจเจ็บหรือไม่ก็ได้ หลังจากนั้น 2-3 วัน จะค่อยๆเริ่มตกสะเก็ด และค่อยๆ หายไปภายใน 7-10 วัน
โดยทิ้งรอยแผลเป็นให้เห็น บริเวณอื่นๆ ที่อาจพบรอยโรคได้ เช่นกัน คือ ก้น แขน ขา
และอวัยวะสืบพันธุ์ ในเด็กทารกอาจพบกระจายทั่วตัวได้
4. ทางระบบประสาท
เช่น สมอง เยื่อหุ้มสมอง หรือเนื้อสมองอักเสบ
5. ทางระบบทางเดินอาหาร
เช่น อาการท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นน้ำเล็กน้อย ปวดหัว อาเจียน
6. ทางตา
มักพบเยื่อบุตาอักเสบ (chemosis and conjuntivitis)
7. ทางหัวใจ
เช่นสามารถทำให้เกิดกล้ามเนื้อหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่า
อาการอาจมีตั้งแต่อาการเล็กน้อยไปจนถึงอาการหรือภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อย
โดยทั่วไปโรคมือ เท้า ปาก จัดว่ามีอาการน้อย โดยมากมักมีเพียงไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว และเจ็บปาก แต่ ในผู้ป่วยบางรายอาจพบภาวะแทรกซ็อนที่รุนแรงได้ โดยเฉพาะจากการติดเชื้อ enterovirus 71 ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง แบ่งเป็น
โดยทั่วไปโรคมือ เท้า ปาก จัดว่ามีอาการน้อย โดยมากมักมีเพียงไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว และเจ็บปาก แต่ ในผู้ป่วยบางรายอาจพบภาวะแทรกซ็อนที่รุนแรงได้ โดยเฉพาะจากการติดเชื้อ enterovirus 71 ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง แบ่งเป็น
1. ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท
1.1 ก้านสมองอักเสบ
(brainstem encephalitis)
1.2 สมองและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
(meningoencephalitis)
1.3 เยื่อหุ้มสมองอักเสบที่ไม่ใช้การติดเชื้อแบคทีเรีย
(aseptic meningitis)
1.4 กล้ามเนื้ออ่อนแรงคล้ายโปลิโอ
(poliomyelitis like paralysis)
2. ภาวะแทรกซ้อนระบบปอด เช่น ปอดอักเสบ
3. ภาวะแทรกซ้อนระบบหัวใจ เช่น
กล้ามเนื้อหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบโดยผู้ป่วยจะมีไข้นำมาก่อนประมาณ 3-6 วัน โดยมักไข้สูง หัวใจเต้นเร็ว และมักมีอาการทางระบบ ประสาทนำมาก่อน
ต่อมามีอาการหายใจล้มเหลวอย่างรวดเร็ว และมีปอดบวมน้ำ (pulmonary edema)
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยโรคมือเท้าปากโดยทั่วไปใช้อาการและอาการแสดงเป็นสําคัญ
(clinical diagnosis) โดย
ตรวจร่างกายพบรอยโรคจําเพาะที่บริเวณมือ เท้า ปาก ร่วมกับมีไข้
การส่งตรวจรอยโรคที่ผิวหนังโดยวิธีทางพยาธิวิทยาจะพบเม็ดเลือดขาวชนิด neutrophil
และ lymphocyte เพิ่มขึ้น แต่ จะไม่พบ multinucleated
giant cell หรือ inclusion body สำหรับในกรณีที่ต้องการทราบชนิดของเชื้อไวรัสที่ก่อโรค
สามารถทำได้โดยการแยกเชื้อไวรัส หรือตรวจ ร่องรอยการติดเชื้อจากนํ้าเหลือง
สําหรับประเทศไทยใช้วิธี micro- neutralization ส่วนการส่งตรวจอื่นที่ส่งได้คือ
- การส่ง
throat swab โดยส่งตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
กระทรวงสาธารณสุข ค่าส่งตรวจประมาณ 900 บาท/specimen
- การเก็บอุจจาระ
(stool) ส่งตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
เช่นเดียวกัน เพื่อตรวจด้วยการเพาะเชื้อหรือ serology
- การส่งน้ำไขสันหลัง
(CSF) ตรวจทาง serology, PCR technique
การรักษา
โรคมือ เท้า และปาก
หากไม่มีภาวะแทรกซ้อน เป็นโรคที่สามารถหายได้เอง โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 7
วัน การรักษาจึงเป็นเพียงการประคับประคองและบรรเทาอาการ
โดยเฉพาะการลดไข้ และลดอาการเจ็บปวด จากแผลในปาก โดยอาจใช้ยาชาป้ายบริเวณที่เป็นแผลก่อนรับประทานอาหาร
ในกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อนให้รักษาตามอาการเป็นส่วนใหญ่
หลังจากการติดเชื้อผู้ป่วยจะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสที่ก่อโรค แต่อาจเกิดโรคมือ
เท้า ปาก ซ้ำได้จาก enterovirus ตัวอื่นๆควรแนะนําผู้ปกครองสังเกตอาการที่อาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
เช่น ไข้สูง ซึม อาเจียนบ่อยๆ ไม่ยอมรับประทานอาหารและนํ้า
ซึ่งควรพาบุตรหลานมาพบแพทย์
การป้องกัน
การป้องกันที่ที่สุดคือการแยกผู้ป่วยที่เป็นโรคออกจากกลุ่มเพื่อนในโรงเรียน
สถานเลี้ยงเด็ก โดยเน้น contact isolation เป็นหลัก โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.แยกเด็กป่วยไม่ให้ร่วมกิจกรรมกับเด็กอื่น
เช่น ว่ายนํ้าไปโรงเรียน ใช้สนามเด็กเล่น เป็นเวลา 1 สัปดาห์
2.ผู้ดูแลเด็กหมั่นล้างมือบ่อยๆ
โดยเฉพาะหลังเปลี่ยนผ้าอ้อม หรือ สัมผัสกับน้ำมูก และนํ้าลายของเด็ก
3.ทําความสะอาดพื้น ห้องน้ำ
สุขา เครื่องใช้ ของเล่น สนามเด็กเล่น ตลอดจนเสื้อผ้าที่อาจปนเปื่อนเชื้อ
ด้วยนํ้ายาฆ่าเชื้อที่ใช้ทั่วไปภายในบ้าน
มีรายงานในเด็กปกติที่ติดเชื้อแล้วไม่มีอาการ
อาจมีเชื้อในอุจจาระได้ 6-12 สัปดาห์
ที่มา:
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น